ขยะอาหารเป็นปัญหาระดับโลกที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสิ้นเปลืองทรัพยากรต่าง ๆ เช่น น้ำ พลังงาน และแรงงานที่ใช้ในการผลิตอาหาร
จากข้อมูลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ประมาณหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตขึ้นทั่วโลกถูกทิ้งเสียเปล่า คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 300 ล้านตันต่อปี การจัดการกับขยะอาหารได้กลายเป็นวาระแห่งชาติของหลายประเทศ และบางประเทศได้พัฒนาระบบที่เป็นนวัตกรรมเพื่อจัดการและลดปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ เราจะสำรวจว่าประเทศต่าง ๆ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย กำลังรับมือกับการกำจัดขยะอาหารอย่างไร โดยจะพิจารณาแนวทางเฉพาะ กฎหมาย เทคโนโลยี และทัศนคติทางวัฒนธรรมที่กำหนดกลยุทธ์ของแต่ละประเทศ
เกาหลีใต้: ผู้นำด้านนโยบายและเทคโนโลยี
เกาหลีใต้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำระดับโลกด้านการจัดการขยะอาหาร ด้วยประชากรหนาแน่นและพื้นที่ฝังกลบจำกัด ประเทศจึงจำเป็นต้องพัฒนานโยบายขยะอาหารขั้นสูงตั้งแต่เนิ่น ๆ
ระบบจ่ายตามที่ทิ้ง (Pay-As-You-Throw: PAYT)
ตั้งแต่ปี 2013 เกาหลีใต้ได้ใช้ระบบ PAYT สำหรับขยะอาหาร พลเมืองต้องแยกขยะอาหารออกจากขยะทั่วไป และทิ้งในถุงย่อยสลายได้ที่ผ่านการรับรองจากรัฐบาล ซึ่งมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย ระบบที่มีค่าใช้จ่ายนี้กระตุ้นให้ครัวเรือนลดขยะอาหาร เพราะพวกเขาต้องจ่ายตามปริมาณที่ทิ้งจริง
ในอาคารชุด มีถังขยะอัจฉริยะที่ติดตั้งระบบ RFID (การระบุด้วยคลื่นความถี่วิทยุ) ซึ่งสามารถชั่งน้ำหนักขยะและเรียกเก็บเงินตามน้ำหนัก ครัวเรือนเฉลี่ยในกรุงโซลสามารถลดขยะอาหารได้ประมาณ 30% นับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบนี้
การรีไซเคิลขยะอาหาร
ประมาณ 95% ของขยะอาหารในเกาหลีใต้ได้รับการรีไซเคิล ด้วยแนวทางที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เศษอาหารถูกเก็บรวบรวมและนำไปแปรรูปเป็น:
- อาหารสัตว์
- ปุ๋ยหรือปุ๋ยหมัก
- พลังงานชีวภาพและก๊าซชีวภาพ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกระบวนการนี้ ขยะอาหารต้องปราศจากของเหลวส่วนเกิน รัฐส่งเสริมให้พลเมืองกรองน้ำออกจากเศษอาหารก่อนทิ้ง และบางอาคารมีเครื่องคั้นน้ำขยะโดยเฉพาะ ขยะอาหารเหลวซึ่งเคยถูกฝังกลบ ปัจจุบันจะถูกห้ามอย่างสิ้นเชิง
บริษัทอย่าง HASS Thailand แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีลักษณะนี้สามารถนำไปใช้ในประเทศอื่นได้เช่นกัน เครื่องกำจัดเศษอาหาร HASS Thailand กำลังช่วยให้ครัวเรือนและธุรกิจในเอเชียลดแรงกดดันต่อพื้นที่ฝังกลบ พร้อมทั้งยังให้ผลผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย
การให้ความรู้และความร่วมมือทางวัฒนธรรม
แคมเปญการให้ความรู้ โปรแกรมในโรงเรียน และสื่อมวลชน มีบทบาทในการปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีตั้งแต่เยาว์วัย เกาหลีใต้มีค่านิยมทางวัฒนธรรมที่เน้นย้ำการไม่ทิ้งอาหาร โดยมีรากฐานจากทั้งค่านิยมดั้งเดิมและประสบการณ์ทางเศรษฐกิจในอดีตที่เคยลำบาก
ญี่ปุ่น: การแยกขยะและนวัตกรรมอัจฉริยะ
ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระบบการจัดการขยะอาหารขั้นสูง แม้ว่าจะเน้นที่การแยกขยะ ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง และการนำกลับมาใช้ใหม่ มากกว่าการรีไซเคิลอย่างเดียว
กฎหมายการแยกขยะอย่างเข้มงวด
เทศบาลในญี่ปุ่นบังคับใช้กฎการแยกขยะอย่างเข้มงวด เมืองส่วนใหญ่กำหนดให้ประชาชนแยกขยะเป็น ขยะเผาได้ ขยะเผาไม่ได้ ขยะรีไซเคิล และขยะอินทรีย์ หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับหรือไม่เก็บขยะเลย
โดยทั่วไป ขยะอาหารถือเป็นขยะเผาได้ แต่ในบางพื้นที่มีการแปรรูปแยกต่างหากเพื่อทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย หรือผลิตก๊าซชีวภาพ
กฎหมายการลดขยะอาหาร
ญี่ปุ่นออกกฎหมาย Food Waste Recycling Law ในปี 2001 มีฉบับปรับปรุงในปี 2007 และอีกครั้งในปี 2019 โดยกำหนดให้ธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร ต้องลดและรีไซเคิลขยะอาหาร กฎหมายกำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่รายงานข้อมูลขยะอาหารประจำปี และส่งเสริมให้:
- บริจาคอาหารที่ยังรับประทานได้ให้ธนาคารอาหาร
- แปรรูปเป็นอาหารสัตว์ (เรียกว่า “eco-feed”)
- ทำปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์
ด้วยเครื่องกำจัดเศษอาหาร เช่น ของ HASS Thailand ทำให้สามารถสร้างระบบหมุนเวียนแบบปิด ซึ่งสามารถแปรรูปขยะเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็ว เหมาะอย่างยิ่งกับพื้นที่หนาแน่นหรือโรงงานผลิตอาหาร หรือแม้แต่ในครัวเรือน
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี
ญี่ปุ่นมีเครื่องกำจัดขยะเศษอาหารอัจฉริยะในบางเมือง ทั้งแบบในครัวเรือนและแบบอุตสาหกรรม เครื่องหมักขนาดเล็กในครัวที่ใช้จุลินทรีย์ในการย่อยเศษอาหารได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้อยู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์
นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้าในญี่ปุ่นยังใช้ระบบ AI เพื่อจัดการสินค้าคงคลัง ลดปัญหาสินค้าเกินและขยะอาหาร
แนวปฏิบัติทางวัฒนธรรม
วัฒนธรรมญี่ปุ่นส่งเสริมความเรียบง่าย เห็นความสำคัญของอาหาร และแนวคิด “Mottainai” ซึ่งแปลว่า “น่าเสียดาย” กรอบแนวคิดนี้สนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการลดการทิ้งอาหารโดยไม่จำเป็น และกระตุ้นให้ประชาชนกินของเหลือหรือใช้ทุกส่วนของผักหรือเนื้อสัตว์ให้คุ้มค่า
ออสเตรเลีย: เร่งตามให้ทันด้วยการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐาน
ออสเตรเลียสร้างขยะอาหารกว่า 7.6 ล้านตันต่อปี ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประมาณ 36.6 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปี แม้จะยังไม่ก้าวหน้าเท่ากับเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น แต่ออสเตรเลียก็มีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ยุทธศาสตร์แห่งชาติเรื่องขยะอาหาร
รัฐบาลออสเตรเลียได้เปิดตัวยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยขยะอาหารในปี 2017 โดยตั้งเป้าลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG 12.3) ซึ่งประกอบด้วย:
- สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม
- เงินทุนสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการรีไซเคิลขยะอาหาร
- ความร่วมมือกับสภาท้องถิ่น องค์กรไม่แสวงหากำไร และภาคอุตสาหกรรม
ในปี 2023 รัฐบาลออสเตรเลียยังได้เปิดตัวกองทุน “Food Waste for Healthy Soils Fund” ซึ่งให้เงินสนับสนุนโรงงานทำปุ๋ยหมักขนาดใหญ่ ผลิตภัณฑ์จาก HASS Thailand อาจมีคุณค่าอย่างมากในระดับชุมชนขนาดเล็กหรือเชิงพาณิชย์ โดยเสนอเครื่อกำจัดเศษอาหารที่ไม่สร้างกลิ่นรบกวน ประหยัดพลังงาน และใช้งานง่าย
โครงการในครัวเรือนและการทำปุ๋ยหมัก
ครัวเรือนในออสเตรเลียจำนวนมากยังทิ้งขยะอาหารไปกับขยะทั่วไป ซึ่งลงเอยที่หลุมฝังกลบและปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม สภาในเมืองใหญ่ เช่น ซิดนีย์ เมลเบิร์น และแอดิเลด กำลังเริ่มให้บริการถังแยกขยะอินทรีย์และสวน (FOGO) เพื่อเก็บขยะอินทรีย์แยกต่างหากและส่งไปทำปุ๋ย
เพื่อส่งเสริมการทำปุ๋ยหมักในบ้าน บางสภามีการเสนอเงินคืนค่าอุปกรณ์ เช่น เครื่องหมักหรือเครื่องย่อยเศษขยะอาหาร ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับเครื่องกำจัดเศษอาหารของ HASS Thailand ที่เริ่มได้รับความนิยมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โครงการกู้และแจกจ่ายอาหาร
องค์กรการกู้ขยะอาหาร เช่น OzHarvest, Foodbank และ SecondBite ร่วมมือกับซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และผู้ผลิตอาหาร เพื่อนำอาหารส่วนเกินไปแจกจ่ายแก่ผู้ขาดแคลน โครงการเหล่านี้กลายเป็นแกนหลักของการลดขยะอาหารของออสเตรเลีย โดยเฉพาะในระดับเชิงพาณิชย์
บทบาทของซูเปอร์มาร์เก็ตและภาคอุตสาหกรรม
ร้านค้ารายใหญ่ เช่น Woolworths และ Coles ได้ดำเนินการลดขยะอาหาร โดย:
- ขายผลผลิตที่มีตำหนิ
- ร่วมมือกับองค์กรกู้ขยะอาหาร
- ลดราคาสินค้าใกล้หมดอายุ
ความพยายามเหล่านี้เสริมด้วยแคมเปญให้ความรู้ผู้บริโภค เช่น การวางแผนมื้ออาหารและการเข้าใจป้ายวันหมดอายุ (“Best Before” vs. “Use By”)
เปรียบเทียบ: เกาหลีใต้ vs. ญี่ปุ่น vs. ออสเตรเลีย
ด้าน | เกาหลีใต้ | ญี่ปุ่น | ออสเตรเลีย |
กฎหมายขยะอาหาร | บังคับใช้ PAYT, กฎรีไซเคิลเข้มงวด | กฎหมายรีไซเคิลสำหรับธุรกิจ, การแยกขยะเข้มงวด | ยุทธศาสตร์แห่งชาติ, การปฏิบัติตามโดยสมัครใจ |
อัตรารีไซเคิล | ~95% | ~80% ในภาคธุรกิจอาหาร | ~20% |
เทคโนโลยี | ถังอัจฉริยะ RFID, ระบบสกัดความชื้น | การจัดการสินค้าด้วย AI, เครื่องหมักในบ้าน | โรงงานปุ๋ยหมัก, เครื่องหมัก HASS, ฟาร์มไส้เดือน |
การมีส่วนร่วมของสาธารณะ | การมีส่วนร่วมสูง, ระบบเก็บค่าธรรมเนียม | ค่านิยมทางวัฒนธรรม เช่น Mottainai, การแยกขยะเข้มงวด | การตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้น, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมช้า |
จุดเน้นหลัก | การลดผ่านบทลงโทษและการรีไซเคิล | การลดผ่านการใช้ซ้ำและระบบอัจฉริยะ | การกู้, การหมัก, การลดฝังกลบ |
ประเทศไทยสามารถเรียนรู้อะไรจากประเทศเหล่านี้ได้บ้าง?
ประเทศอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมาย การมีส่วนร่วมของวัฒนธรรม และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ออสเตรเลีย แม้จะตามหลังในด้านอัตรารีไซเคิล แต่ก็กำลังเติบโตด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลและความตระหนักของสาธารณะที่เพิ่มขึ้น
ข้อสรุปสำคัญ:
- แรงจูงใจและบทลงโทษมีผล – ระบบ PAYT ของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบทางการเงินสามารถกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงได้จริง
- วัฒนธรรมมีความสำคัญ – แนวคิดญี่ปุ่นที่ไม่ให้ของเสียเปล่าสามารถกระตุ้นพฤติกรรมที่ดีควบคู่ไปกับนโยบาย
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็น – หากไม่มีโรงงานหมักและระบบเก็บขยะ ขยะอาหารก็จะยังคงถูกฝังกลบ เครื่องกำจัดเศษอาหารอย่างของ HASS Thailand สามารถเติมเต็มช่องว่างระหว่างระบบอุตสาหกรรมและความต้องการของบ้านหรือธุรกิจ
- การศึกษาเป็นหัวใจสำคัญ – ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจวันหมดอายุ หรือการเรียนรู้การหมัก การมีพลเมืองที่มีความรู้เป็นหัวใจของความสำเร็จระยะยาว
บทส่งท้าย
ขยะอาหารเป็นความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และจริยธรรม ที่ไม่มีประเทศใดเพิกเฉยได้ แม้แต่ละประเทศจะใช้แนวทางต่างกัน แต่กลยุทธ์ร่วมระหว่างนโยบายของรัฐ ความรับผิดชอบของธุรกิจ การศึกษาสาธารณะ และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี คือแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ทรงพลังว่า ระบบ วัฒนธรรม และนวัตกรรม สามารถลดขยะอาหารได้อย่างมหาศาล ออสเตรเลีย ด้วยการปฏิรูปและโครงการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ก็กำลังเดินหน้าอย่างมีความหวังสู่แนวทางอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น
ด้วยโซลูชันอย่างเครื่องกำจัดเศษอาหาร HASS Thailand ครัวเรือนและธุรกิจทั่วโลกมีศักยภาพในการจัดการขยะอาหารอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้